5 ช่วงเวลา ของถ้วย FA CUP ที่เคยเป็นดั่งจุดหมาย และดอกไม้ริมทาง
ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง FA CUP ได้ถือกำเนิดและจัดการแข่งขันขึ้นมาเป็นระยะเวลานานกว่า 150 ปีแล้ว ซึ่งถ้วยมีฝาใบนี้ผ่านร้อนและหนาวมามากมายเกินกว่าอายุขัยของมนุษย์สักคนหนึ่งเสียอีก แต่ทุกท่านเชื่อหรือไม่ ว่าถ้วยใบถ้วยนี้เคยมีความสำคัญจนใครต่อกันก็รุมแย่งในช่วงเวลาหนึ่ง และก็เคยเป็นถ้วยที่ไม่มีใครหมายปองในช่วงเวลาหนึ่ง
ฉะนั้นแล้วในวันนี้ เราจะไปย้อนถึง 5 ช่วงเวลาของถ้วย FA CUP ที่เป็นดั่งจุดหมาย และดอกไม้ริมทาง ว่ามันเป็นมาอย่างไรกันบ้าง และมันมีเหตุจูงใจอะไรที่ทำให้มีสถานะเป็นอย่างนั้น
1. เป็นถ้วยระดับประเทศที่ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ
ในช่วงปี 1870-90 ฟุตบอลอังกฤษมีสโมสรไม่มาก ถ้วย FA CUP จึงยังไม่เป็นที่รู้จัก อีกทั้งภูมิภาคต่างๆ ก็นิยมตั้งลีกและแข่งขันกันเองกับทีมที่อยู่ใกล้เคียง อีกทั้งยังเป็นการแข่งขันของทีมสมัครเล่นและไม่มีลีกอาชีพ
- หากดูจากตัวเลขปีที่เริ่มมีการแข่งขันถ้วย FA CUP จะเห็นว่าเป็นปีที่ทีมใหญ่ๆ ดังๆ ในยุคนี้ยังไม่ก่อตั้งสโมสรขึ้นมา อีกทั้งถ้าไปค้นทำเนียบแชมป์ในปีแรกๆ จะพบกับชื่อทีมแปลกๆ ที่ไม่ค่อยคุ้นหู ซึ่งเหตุผลสำคัญก็เป็นเพราะว่าทีมเหล่านั้นล้มหายตายจากไปจากสารบบฟุตบอลอังกฤษ หรือลงไปอยู่ในลีกสมัครเล่นแล้ว อีกทั้งหากดูจากทีมที่เข้าแข่งขันที่ไม่มาก ก็ย่อมสื่อให้เห็นว่าถ้วยใบนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แถมจำนวนผู้ชมก็เพียงหลักพันเท่านั้น ก่อนที่ในยุค 1890-1900 จำนวนผู้ชมจะเริ่มมากขึ้นเป็นหลักหมื่นต้นๆ
- ทีมในยุคแรกที่เข้าชิงชนะเลิศและยังยืนหยัดอยู่ในระบบลีกอังกฤษจวบจน เช่น แบล็กเบิร์น โรเวอร์ และควีนปาร์ค เรนเจอร์ ที่ปัจจุบันอยู่ในเดอะแชมเปียนชิปส่วนเวสต์บรอมวิช และแอสตัน วิลล่า ยังอยู่ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งหากดูจากตำแหน่งที่ตั้งของสโมสรเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นทีมในเมืองใหญ่ของอังกฤษแทบทั้งสิ้น
2. การได้แชมป์ FA CUP คือการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ให้ทั้งประเทศได้รู้
หลังจากปี 1890 เป็นต้นมา สโมสรฟุตบอลมีการก่อตั้งไปทั่วทุกหนแห่งตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ทำให้การแข่งขันฟุตบอล FA CUP มีทีมเข้าร่วมเพื่อมากขึ้น
- นับจากปี 1890 สโมสรฟุตบอลในอังกฤษเพิ่มจำนวนมากขึ้นราวกับดอกเห็ด เพราะด้วยเหตุผลของการตั้งลีกฟุตบอล ทำให้เศรษฐีประจำท้องถิ่นนิยมก่อตั้งทีมขึ้นมา เพื่อให้เป็นตัวแทนของคนทั้งเมือง โดยการแข่งขันแบบลีก จะมีแบบลีกในระดับประเทศ และลีกตามแต่ละภูมิภาคที่จะจัดตั้งกันขึ้นมาเอง จนทำให้เกิดคู่อริกับทีมบ้านใกล้เรือนเคียง
- ส่วนฟุตบอลถ้วย FA CUP ก็กลายเป็นถ้วยที่ทุกทีมต่างตบเท้าเข้าร่วมการแข่งขัน เพราะนี้คือถ้วยแชมป์ระดับประเทศ ที่หากใครได้ย่อมประกาศได้ถึงความเก่งกาจให้ทุกทีมทั่วเกาะอังกฤษได้รู้ ทำให้ในแต่ละปี คู่ชิงจะแทบไม่ซ้ำหน้ากันเลย รวมถึงแชมป์ที่ผลัดกันได้จนยากแก่การคาดเดา อีกทั้งความนิยมที่มีมากขึ้น จะสังเกตได้จากจำนวนแฟนบอลที่เข้ามาชมเกินครึ่งแสน โดยใช้สนามของคริสทัล พาเลช ก่อนจะมีสนามกีฬาแห่งชาติที่ชื่อว่า เวมลีย์ เพื่อไว้จุแฟนบอลในจำนวนเรือนแสน
3. แชมป์ FA CUP จะได้ไปลุยถ้วยยุโรป
วันเวลาเดินทางมาถึงปี 1960 การแข่งขันฟุตบอลของอังกฤษเกือบ 80 ปีที่ผ่านมา มีเพียงการแข่งขันในประเทศ ก่อนที่ในยุค 60 จะเริ่มมีแนวคิดในการนำแชมป์ของประเทศต่างๆ มาแข่งกันเพื่อชิงความเป็นจ้าวยุโรป และแน่นอนว่าแชมป์ FA CUP ก็ต้องมีสิทธิ์ด้วย
- ฟุตบอลอังกฤษ ที่มีการแข่งขันกันในประเทศก็นับว่าเป็นอะไรที่โคตรมันอย่างยิ่งแล้ว แต่ด้วยวันเวลาที่เปลี่ยนไป พร้อมกับการคมนาคมและการเดินทางที่ไปมาหาสู่สะดวกขึ้น ทำให้เกิดแนวคิดที่จะนำแชมป์จากประเทศต่างๆ มาแข่งขันกันแบบทัวร์มาเมนต์ เพื่อหาแชมป์จ้าวยุโรป ซึ่งในอดีตจะให้โควตากับแชมป์ลีกทีมเดียวเท่านั้นในการไปแข่งยูโรเปียนคัพ ฉะนั้นทีมที่ได้ไปจะต้องเป็นเต้ยของอังกฤษแบบเนื้อแท้ ดังจะเห็นจากการที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก ก่อนจะต่อยอดสู่แชมป์ยุโรป 4 สมัย ในระยะเวลาเพียง 8 ปี
- ส่วนอีก 1 โควตาที่จะมีโอกาสได้ไปลุยฟุตบอลยุโรปอย่าง ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว และมีศักดิ์เท่ากับยูโรป้า ลีก ในปัจจุบัน) ก็คือการเป็นแชมป์ถ้วย FA CUP ทำให้โฉมหน้าผู้เข้าชิงถ้วยในยุคนั้นล้วนแต่เป็นทีมระดับพระกาฬ เช่น ลิเวอร์พูล, เอฟเวอร์ตัน, ลีดส์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต่างหันเหมาเน้นหนักในถ้วยนี้เมื่อรู้ตัวว่าการคว้าแชมป์ลีกเริ่มริบหรี่
4. การทำอันดับในลีกติด 1 ใน 4 สำคัญกว่าได้แชมป์ FA CUP
หากแฟนบอลที่ลาโลกไปก่อนปี 1992 มาได้ยินประโยคนี้ คงจะงงและถามกลับว่าบ้าหรือเปล่าเป็นแน่ เพราะการติดอันดับ 2-3-4 ที่ไม่มีถ้วยอะไรมอบให้ จะยิ่งใหญ่กว่าการได้แชมป์ FA CUP ได้อย่างไร แต่ถ้าพวกเขาเหล่านั้นได้รู้กฎกติกาแบบใหม่ ก็อาจต้องมีหวั่นๆ และบอกทีมที่รักว่าติดท็อปโฟร์กก่อนนะลูกพี่
- นับตั้งแต่ยุค 90 อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคมืดของถ้วย FA CUP เลยก็ว่าได้ เพราะยูฟ่าปรับรูปแบบการแข่งขันและการให้โควตาใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อจาก ยูฟ่า ยูโรเปียนคัพ มาเป็น ยูฟ่า แชมเปียนลีก และเปลี่ยนจาก ยูฟ่า คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก พร้อมกับได้ยกเลิกถ้วยยูฟ่าคัพ วินเนอร์ ไป
- สำหรับฟุตบอลอังกฤษที่เป็นลีกใหญ่ของยุโรป ยูฟ่าให้โควตาลุยศึกถ้วยหูใหญ่ จำนวน 4 ทีม โดยยึดจากอันดับในลีก ซึ่งจะได้ทีมตัวแทนที่เป็นของจริงไม่มีล้อน้อง ส่วนแชมป์ FA CUP จะได้สิทธิ์ไปเล่นถ้วยใบน้อย ซึ่งเป็นเพราะรูปแบบการแข่งขันแบบนัดเดียว ที่ทีมแชมป์อาจมีดวงและโชค มากกว่าฝีมือจริงๆ
- ฉะนั้นเมื่อกฎออกมาแบบนี้ ทีมใหญ่ๆ ก็ย่อมเน้นไปที่เกมลีกมากกว่า เมื่อใดที่ถึงโปรแกรม FA CUP จะส่งตัวสำรอง หากตกรอบก็ไม่เป็นไร แต่หากเข้าถึงรอบลึกค่อยส่งตัวจริง นี่จึงเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกม FA CUP ในช่วงหลัง ไม่เร้าใจเหมือนกับยุคก่อนหน้านี้
5. ยุคที่ทีมเล็กหวังแค่เข้ารอบลึกๆ เพื่อให้ทีมเติบโตระยะยาว
แฟนบอลในยุคก่อนหากได้ยินประโยคนี้ อาจจะงงว่าการที่ทีมเล็กที่ได้เข้ารอบลึกๆ มันน่าดีใจตรงไหน เพราะทีมก็ไม่ได้ไปไกลและไม่ได้เข้าชิงสักหน่อยแต่นั่นก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะหากรู้ว่ายิ่งเข้ารอบลึกยิ่งได้เงิน มันจะมีผลต่อทีมนั้นให้สามารถส่งทีมแข่งต่อไปได้อีกยาวๆ
- ฟุตบอลในยุคหลัง เรื่องของการเงินนับเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทุกย่างก้าวของการทำทีมฟุตบอลต้องมีรายจ่าย โดยการมีสปอนเซอร์ท้องถิ่นเข้ามาสนับสนุน ก็นับเป็นน้ำหล่อเลี้ยงสำคัญให้ทีมเล็กๆ สามารถเดินหน้าต่อไปได้
- แต่เชื่อหรือไม่ว่าฟุตบอล FA CUP ได้สร้างชีวิตใหม่ให้กับหลายๆ ทีมที่เข้ารอบ 3-4 เพราะการแข่งขันรอบนี้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ทำให้ทีมรากหญ้ามีโอกาสขายโฆษณาในมูลค่าที่สูงขึ้นหากเจอกับทีมใหญ่ อีกทั้งจะดังเป็นพลุแตกและรับทรัพย์มากขึ้นไปอีกหากล้มยักษ์ได้ ซึ่งทีมอย่างลูตัน ทาวน์ ที่เคยหลุดไปไกลถึงนอกลีก แต่เข้าได้ถึงรอบ 5 ก็ได้เงินจากส่วนนี้จนทีมทะยานขึ้นไปสู่เดอะแชมเปียนชิป, ลินคอล์น ซิตีที่เคยอยู่นอกลีก แต่ฝ่าฟันไปถึงรอบ 5 ปัจจุบันได้รับทรัพย์จากวีรกรรมในครั้งนั้นจนทีมก้าวขึ้นมาลีกวัน หรือในปีนี้อาจเป็นชอร์ลีย์ ที่สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่อีกทีม
สำหรับเรื่องราว 5 ช่วงเวลาที่นำมาเล่าในวันนี้ น่าจะทำให้เห็นได้ว่าถ้วยใบเก่าแก่อันนี้ก็เหมือนกับชีวิตคน ที่เคยมีจุดตกต่ำและขึ้นสูงสุด ก่อนจะกลับมาตกต่ำอีกครั้ง ฉะนั้นคำพูดที่กล่าวว่าใดๆ ในโลกนี้ล้วนไม่ยั่งยืน คือวลีที่ยังคงใช้ได้กับทุกสิ่ง รวมถึงทุกท่านที่กำลังอ่านบทความนี้